เลเวอร์เรจช่วยให้คุณเปิดตลาดในขนาดที่เพิ่มขึ้นโดยใช้เงินทุนในการลงทุนในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งหมายความว่าความเคลื่อนไหวใดๆ ในตลาดสามารถสร้างผลประกอบได้มากขึ้นเทียบกับการลงทุนแบบดั้งเดิมที่ไม่มีการใช้เลเวอร์เลจ
อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องตระหนักถึงนั้นคือเมื่อหรือถ้าหากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ ผลขาดทุนสุทธิก็มากขึ้นด้วย
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นกลไกการทำงานของเลเวอร์เลจ
ตัวอย่างที่ 1:
นักลงทุนคนแรกต้องการที่จะถือสถานะการลงทุนบนคู่สกุลเงิน EUR/USD ด้วยขนาด 0.1 ลอต มูลค่าของสัญญาคือ EUR 10,000 และเลเวอร์เลจคือ 30:1 หรือ 3.33% ของเงินฝาก
ซึ่งมีความหมายว่านักลงทุนคนนี้ต้องการเพียง 3.33% จาก EUR 10,000 ในการเปิดสถานะ
ตัวอย่างที่ 2:
นักลงทุนคนที่สองต้องการที่จะเปิดด้วยสถานะซื้อบนหุ้น CFD S& P500 ด้วยตัวคูณดัชนีที่ 50
ที่นี้สมมุติว่ามูลค่าของสัญญา CFD สำหรับ S & P500 คือ 2,000
ในการเปิดสถานะที่ไม่มีเลเวอร์เลจ นักลงทุนต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 2,000 x 50 = USD 100,000 ในบัญชีของเขา
ถ้าอัตราของเลเวอร์เรจคือ 20:1 นักลงทุนต้องการ 5% ของมูลค่าสัญญาเพื่อที่จะเปิดสถานะ
ดังนั้นการมีเงินฝาก USD 5,000 สามารถปิดธุรกรรมได้ด้วยการเปิดราคาในตลาดที่ USD 100,000 (2,000 x 50)
ประโยชน์ของเลเวอร์เลจ
-
เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบดั้งเดิมกำไรจะได้มากกว่า
-
นักลงทุนสามารถเปิดสถานะได้ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับการซื้อชำระหุ้นทางกายภาพ
-
เลเวอร์เลจช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนโดยใช้เงินทุนเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งทำให้การลงทุนในตราสารประเภทอื่นๆ ในเวลาเดียวกันง่ายขึ้น
ข้อเสียของเลเวอร์เลจ
-
เหมือนกันศักยภาพในการสร้างกำไรเพิ่มขึ้น นักลงทุนมีโอกาสที่จะเสียเพิ่มขึ้นด้วย
-
การมีความสามารถในการเปิดตลาดได้ใหญ่ขึ้นมากกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิมก็เป็นการทำให้เกิดการเสียการรับรู้ของโอกาสในการขาดทุนด้วย
-
การลงทุนที่มีความหลากหลายโดยการใช้เงินทุนของคุณทำให้การบริหารจัดการมูลค่ารวมของการลงทุนยากขึ้นไปอีกด้วย
ระดับหลักประกันและการเรียกหลักประกัน
ระดับหลักประกันบอกถึงเงินฝากที่ถูกเรียกเพื่อรักษาการเปิดสถานะ เพื่อเปิดและรักษาสถานะการลงทุน,นักลงทุนต้องมีเงินฝากเป็นจำนวนที่เพียงพอในการปกป้องการลงทุน หลักประกันอิสระบอกถึงเงินต้นทุนคงเหลืออยู่ในบัญชีที่สามารถนำไปใช้ในการเปิดสถานอื่นๆ ต่อไปได้ และรวมถึงมีจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในยอดเงินรวมในบัญชีที่เกิดมาจากการเคลื่อนไหวของราคาจากสถานะการลงทุนที่ถูกเปิดไปก่อนหน้า
ที่ XTB ระดับหลักประกันที่ที่บัญชีที่ขาดทุนมากที่สุดจะถูกปิดคือ 50% ระดับหลักประกันถูกคำนวนโดยการหารผลประกอบการด้วยระดับของส่วนประกอบของหลักประกันที่ตั้งใจจะคงไว้, จากนั้นคูณด้วย 100%
บนแพลตฟอร์มสำหรับการลงทุน xStation5 ของ XTB, คุณสามารถค้นหาระดับของหลักประกันในแถบด้านล่างของหน้าจอทางด้านขวา กระบวนการที่ปิดสถานะเป็นกระบวนการรักษาความปลอดภัยที่จำกัดความเสี่ยงของยอดรวมติดลบจากกรณีที่มีการเคลื่อนไหวในตลาดอย่างทันทีทันใดเกินไป
คุณควรจะตระหนักไว้เสมอว่าการรักษาระดับหลักประกันให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 50% เสมอ โดยคุณสามารถตัวอย่างเช่นฝากเงินเพิ่มหรือการปิดสถานะการลงทุนหลายๆ สถานะ